Thursday, February 25, 2010

Wednesday, February 24, 2010

TOYOTA Aygo

TOYOTA Aygo ก็มีคนเล็งไว้ว่าจะกลายเป็น ECO-CAR ของไทย ด้วยขนาดกระทัดรัดและเสป๊คต่ำ แดร๊กน้ำมันน้อย แต่ถ้าเอาเข้ามาในไทยมันก็คงโนภาษีกระหน่ำเข้าไป เฮ้อ -*-

"Aygo เป็นซิตี้คาร์ขนาดจิ๋ว มาพร้อมรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวทันสมัย ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1 ลิตร พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-i สามารถสร้างแรงม้าได้ 67 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิด 9.4 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดาแบบ Multi-mode Manual Transmission (MMT) ผู้ขับสามารถเปลี่ยนเกียร์โดยที่ไม่ต้องเหยียบคลัตช์ หรือถ้าขี้เกียจเปลี่ยนเกียร์ก็สามารถเลือกโหมดอัตโนมัติได้ และยังมีเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.4 ลิตร 53 แรงม้า สำหรับผู้ที่ต้องการความประหยัดอีกด้วย"

ถึงแม้จะเป็นรถขนาดเล็ก แต่เรื่องระบบความปลอดภัยสามารถไว้วางใจได้ ด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ MICS (Minimal Intrusion Cabin System) ที่สามารถยุบตัวและซับแรงกระแทกจากการชนทุกทิศทาง เพื่อรักษาโครงสร้างของห้องโดยสารไว้ จนสามารถผ่านการทดสอบการชนของ Euro NCAP ในระดับ 4 ดาว ส่วนระบบความปลอดภัยด้าน Active safety ก็มีทั้งระบบเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD

Aygo จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานแห่งใหม่ในสาธารณรัฐเชค ที่ทาง TOYOTA ได้ร่วมมือกับ PSA Peugeot Citroen พัฒนารถขนาดเล็กและใช้แพลตฟอร์มร่วมกัน มีกำลังการผลิต 300,000 คันต่อปี และ 1 ใน 3 นั้นก็จะเป็น Aygo ทาง TOYOTA เปิดตัว Aygo ที่ประเทศอังกฤษ เป็นที่แรกในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และตั้งยอดจำหน่ายในปีนี้ที่ 3,400 คัน และจะเพิ่มเป็น 13,000 คัน ในปี 2006

Friday, February 19, 2010

Toyota Aygo





Aygo เป็นซิตี้คาร์ขนาดจิ๋ว มาพร้อมรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวทันสมัย
>>ติดตั้งเครื่องยนต์
>>เบนซินขนาด 1 ลิตร พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-i สามารถสร้างแรงม้าได้ 67
>>แรงม้า
>>ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิด 9.4 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านระบบ

>>เกียร์ธรรมดาแบบ Multi-mode Manual Transmission (MMT) ผู้ขับสามารถเปลี่ยน
>>เกียร์โดยที่ไม่ต้องเหยียบคลัตช์
>>หรือถ้าขี้เกียจเปลี่ยนเกียร์ก็สามารถเลือกโหมดอัตโนมัติได้
>>และยังมีเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.4 ลิตร 53 แรงม้า
>>สำหรับผู้ที่ต้องการความประหยัดอีก

Thursday, February 18, 2010

2010 Nissan Micra/March will be unveiled in Thailand

The next generation Nissan Micra/March will be manufactured in key developing regions of the world. Reports in the media state the new compact car intended for maturing markets like India, Africa and parts of Europe will debut in Thailand in March 2010.

The new Nissan small car will not only be manufactured in India, but also in Thailand, China, Mexico and an unnamed location.

Nissan will begin production of the Micra/March at its new facility near Chennai, in India, in May 2010. The facility has an installed capacity of about 200,000 vehicles per year. A major share of the production is intended for European countries.

The car will make use of a new “dual injection” technology that will lower emissions and improve gas mileage of the car.

The localization level of the car made in India would be 80-90 percent. Nissan has already roped in 94 suppliers to achieve this target. In Thailand, to avail cost benefits, this car will be Nissan’s entry in Thailand’s eco car project, an initiative by the government to attract foreign investments.



Read more: http://indianautosblog.com/2009/07/new-nissan-march-micra-2010-dual-injection#ixzz0fwDqKsA1


งานนี้ proton savvy เตรียมเก็บของ กลับมาเลย์ไปเลย

chery QQ ก็กลับเมืองจีนไป ส่วน naza forsa คงไม่กระทบ

เพราะขายไม่ออกอยู่แล้ว..

ปีหน้า.. มาแน่นอน
Nissan March รุ่นใหม่ของโลก จะออกต้นปีหน้า เดือนมีนาคม 2010
Nissan ใช้ไทย จีน และอินเดีย เป็นฐานผลิตหลัก ส่งออกไปขายทั่วโลก แม้กระทั่งญี่ปุ่นและยุโรป

ขนาด ระดับ เกรดของรถ ระดับเดียวกับ Vios Yaris City Jazz

ข่าวดีก็คือ ด้วยความที่ไทยเป็นฐานผลิต ราคาอยูที่ 3-4 แสนต้น ๆ ครับ น่าสนใจมาก

Nissan march eco car

วันนี้ (29 ตุลาคม 2009) บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดแถลงรายละเอียดแพลทฟอร์มใหม่ สำหรับรถยนต์ขนาดเล็กระดับโลกหรือ V-platform ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเพื่อไขข้อสงสัยของสื่อมวลชนทั้งหลายที่อัดอั้นและอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการนี้มาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2009

และนั่นก็เป็นการประกาศว่านับจากนี้ไป นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ก้าวเข้าสู่วงจรบริษัทระดับรถยนต์โลกอย่างแท้จริง หลังจากที่บริษัทเพียรพยายามปรับตัวถึง 6 ปีนับตั้งแต่บริษัทแม่เข้ามาถือหุ้น

แต่ใช่ว่า Nissan เพิ่งแถลงโครงการนี้ในไทยเป็นที่แรกในโลก ก่อนหน้านั้น Nissan เคยแถลงโครงการนี้ให้กับสื่อมวลชนจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ณ ศูนย์การพัฒนาวิจัย Nissan ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 20 ตุลาคมก่อนวันงาน Tokyo Motorshow 1 วัน และ Nissan ประเทศอินเดียก็เพิ่งแถลงโครงการนี้ไปในวันที่ 27 ตุลาคมไม่นานนัก

ดังนั้นทีมงานรับผิดชอบหลักของโครงการ V-platform ทั้ง 4 ท่านจากบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ได้แก่
มร. วินเซนท์ โคบี รองผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและโปรแกรมไดเร็กเตอร์
มร. โนริทาคา ซึรุ วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแพลทฟอร์ม
มร. ซึโยชิ โคบายาชิ หัวหน้าวิศวกรด้านยานยนต์
และมร. คาโตะ เคโน หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์
ต้องเหนื่อยกันหน่อยเพื่อเดินสายแถลงรายละเอียดโครงการนี้ในประเทศที่มีความสำคัญต่อโครงการนี้มาก ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น,ประเทศอินเดีย ล่าสุดประเทศไทยก่อนที่พวกเขาจะต้องบินไปแถลงกันต่อที่ประเทศจีนต่อไป


ทำไมถึงต้องเป็น V-platform

ชื่อโครงการ V-platform นั้นย่อมาจากคำว่า Versatility แปลว่าหลากหลายได้อย่างคล่องตัว โครงการนี้เริ่มต้นงานพัฒนาในปี 2005 หรือใช้เวลาพัฒนารถในโครงการนี้ประมาณ 4 ปี เน้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดขยายตัวเร็วอย่างประเทศ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีนหรือคำที่นิยมเรียกกันว่ากลุ่มประเทศ BRIC



Nissan เชื่อว่าตลาดรถเล็กระดับ A-B Segment ยังมีช่องว่างเติบโตในตลาดซึ่งเกิดจากความต้องการรถเล็กที่ประหยัดน้ำมัน รถดังกล่าวมีราคาซื้อหาได้จึงมีแนวโน้มการขยายตัวของตลาดสูงขึ้นประมาณปีละ 2% นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นไป ทำให้โครงการดังกล่าวต้องเปิดตัวในประเทศที่กำลังพัฒนา ต้นทุนต่ำ ขยายตัวเร็วอันได้แก่ ประเทศไทย อินเดีย และจีน เป็นลำดับต้น ๆ ของโลก แทนที่จะเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเช่น ญี่ปุ่น ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา



แนวคิดพื้นฐานของ V-platform มีหัวใจหลัก 3 ประการคือ ความกว้างขวาง กะทัดรัดน้ำหนักเบา,ดีไซน์สำหรับลูกค้าทั่วโลก ตอบสนองการใช้งานของคนท้องถิ่นได้,วิศวกรรมแพลทฟอร์มและเครื่องยนต์ใหม่เพื่อคุณค่าที่ดียิ่งขึ้น ทำให้สามารถตั้งราคาที่แข่งขันในตลาดได้



รายละเอียดทางวิศวกรรมที่สามารถยืดหยุ่นได้ตามเหมาะสมของตลาดแต่ละประเทศนั้น ๆ ได้แก่ สามารถปรับเปลี่ยนพวงมาลัยซ้ายและพวงมาลัยขวาได้,มีเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ที่ไล่ระดับค่าไอเสียตั้งแต่แค่ Euro3 จนไปถึง Euro6 อันเข้มงวด,มีเกียร์ธรรมดา เกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ CVT,ปรับให้เหมาะสมกับสภาพถนนทุกรูปแบบ



รถในโครงการ V-platform ก็ยังยืนยันว่ามีรถอย่างน้อย 3 รุ่นที่ใช้พื้นตัวถังแบบใหม่นี้และแชร์ชิ้นส่วนร่วมกัน (Common Part) ถึง 80% ใช้โครงสร้างตัวถึงครึ่งคันหน้าร่วมกันแต่ต่างกันที่รายละเอียดการดีไซน์รอบคัน (นึกภาพ Toyota Yaris และ Vios หรือ Honda Fit รุ่นแรก,Honda City เจเนเรชั่นที่แล้ว และ Honda Airwave ออกนะครับ ว่ารถดังกล่าวใช้โครงสร้างครึ่งคันหน้าร่วมกัน แต่ต่างกันที่ดีไซน์) อันได้แก่



คันแรก Nissan March เจเนเรชั่นที่ 4 รหัสพัฒนา X02A หรือบางครั้งก็เรียกว่า B02A แน่นอนต้องเป็นรถท้ายตัด 5 ประตูแต่ขนาดตัวถังถูกขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเห็นได้ชัด และเกลารูปร่างทั้งคันให้ดูเรียบง่ายเข้าถึงทุกเพศได้มากกว่ารุ่นเดิม


รุ่นที่ 2 เป็นรถซีดานรหัสพัฒนา L02B ที่ Headlightmag เคยนำเสนอไป จากการสังเกตภาพรถในพรีเซนเทชั่นพบว่าสัดส่วนครึ่งคันหน้าเท่ากับ Nissan March X02A ความยาวด้านหน้ารถดูยาวสมส่วนรับกับด้านท้าย และสัดส่วนของรถดูสมส่วนกว่าภาพ Clay Model ที่เคยลงในคอลัมน์สปายช็อตอีกด้วย

รุ่นที่ 3 รถมินิแวนอเนกประสงค์รหัสพัฒนา W02C จากการสังเกตภาพรถในพรีเซนเทชั่นพบว่าใช้โครงสร้างตัวถังร่วมกับรถสองรุ่นดังกล่าวแต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดให้แตกต่างขึ้น จากการรวบรวมข้อมูลโดยผู้เขียนพบว่า Nissan เองก็มีโครงการพัฒนารถมินิแวนสำหรับตลาดอาเซียนที่มีความสูงเพียงแค่ 1,500 กว่ามิลลิเมตร ดังนั้นรถคันนี้จังมีความเป็นไปได้สูงมากว่าคือ Nissan Grand Livina หรือ Livina Geniss โฉมต่อไปแน่นอน

มร. วินเซนท์ โคบี รองผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและโปรแกรมไดเร็กเตอร์กล่าวเพิ่มเติมว่ารถที่พัฒนาบน V-platform ทั้ง 3 รุ่นจะต้องถูกผลิตจากฐานการผลิต 5 แหล่งได้แก่ ไทย อินเดีย จีน และฐานผลิตอีก 2 แห่งที่ยังไม่ระบุ ตั้งยอดผลิตให้ได้ถึง 1 ล้านคันต่อปีเพื่อวางจำหน่ายมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลกภายในปี 2013 ให้ได้

นำเสนอความทันสมัย ความกว้างขวาง ประหยัดน้ำมัน ความคล่องตัว ความทนทาน คุณภาพดี เชื่อถือได้


ประเทศไทยจะได้รับเกียรติเปิดตัว Nissan March โฉมใหม่ซึ่งเป็นรถ V-platform คันแรกของโลกและยังเป็นรถในโครงการอีโคคาร์คันแรกของประเทศไทยในเดือนมีนาคม 2010 โดยใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศถึง 80% จากนั้นก็จะถึงคิวของประเทศอินเดียเปิดตัวภายในเดือนพฤษภาคม 2010 ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 80% หลังจากนั้นประเทศจีนก็จะเปิดตัวตามไม่นานนักแต่เพิ่มสัดส่วนชิ้นส่วนภายในประเทศมากถึง 90% ก็เพราะว่าประเทศจีนรับผิดชอบผลิตชิ้นส่วนบางชิ้นป้อนประเทศไทยและอินเดีย เช่น ชิ้นส่วนเครื่องยนต์บางชิ้น เป็นต้น

ในอนาคตประเทศไทยอาจจะเพิ่มชิ้นส่วนภายในประเทศจาก 80% เป็น 94% ภายในปี 2012